เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate) หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า โซดาทำขนม โดยเบกกิ้งโซดานั้นเป็นเพียงส่วนประกอบที่อยู่ในผงฟู ไม่ใช่ผงฟู มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว มีรสเค็มคล้ายโซเดียมคาร์บอเนต เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำและกรดอ่อนๆ ที่ได้มาจากส่วนผสมต่างๆ ก็จะทำให้เกิดฟองก๊าซขึ้นมา เบกกิ้งโซดาจึงถูกนำมาเป็นส่วนผสมในผงฟูนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเรานำเอาผงฟูใส่ลงไปในขนมปังแล้วเข้าเตาอบ จึงทำให้ขนมปังของเราดูฟู สวยงาม น่าอร่อย หรืออย่างในเค้กที่มีส่วนผสมเป็นผลไม้ซึ่งค่อนข้างมีความเป็นกรด ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน คือ เค้กกล้วยหอม เมื่ออบเสร็จแล้วก็จะฟู ดูน่ารับประทาน แต่ขอแนะนำไว้ว่าส่วนผสมในขนมของเราต้องมีความเป็นกรด เบกกิ้ง
ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา
นอกจาก เบกกิ้งโซดา จะมีประโยชน์ในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของขนมที่เป็นเบเกอรี่ประเภทต่างๆ แล้ว เบกกิ้งโซดา ก็ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย ต้องบอกเลยว่าข้อมูลที่เรานำมาฝากกันนั้นแน่นจริงๆ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านได้อีกหลายด้าน ลองไปดูกันว่ามีสิ่งที่คุณกำลังต้องการหาอยู่รึเปล่า
1. หมักหมูให้นุ่ม : แนะนำว่าให้ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในหมูขณะที่กำลังหมักเพียงนิดหน่อยเท่านั้น หากใส่ลงไปมากอาจทำให้มีกลิ่นสารเคมีได้ เสียทั้งกลิ่นหอมของอาหาร เดี๋ยวจะพาลไปทำให้รสชาติไม่อร่อยด้วย
2. ผสมเป็นน้ำยาล้างสารพิษในผักและผลไม้ : ผสมเบกกิ้งโซดา ½ ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่าในปริมาณ 10 ลิตร จากนั้นนำผักและผลไม้แช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา 2 ครั้ง จะช่วยกำจัดสารผิดที่ติดอยู่บริเวณเปลือก หรือผิวของผักและผลไม้ออกได้ 90%
3. ทำความสะอาดผักและผลไม้ : ผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำอุ่น 4 ถ้วย ใช้สำหรับล้างผักและผลไม้โดยการเอาแช่ทิ้งไว้สักครู่ เรียกว่าเป็นการรอให้ส่วนผสมเย็นตัวก่อน จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำธรรมดา จะช่วยทำให้ผักและผลไม้ดูสะอาด น่ากินมากยิ่งขึ้น
4. ทำความสะอาดเขียง : ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำธรรมดา ใช้สำหรับทำความสะอาดเขียงหลังจากใช้งาน จะช่วยทำให้เขียงหมดกลิ่นคาวไปได้อย่างหมดจด
โซดาถึงจะทำปฏิกิริยา และหากเราใส่เบกกิ้งโซดาในปริมาณที่มากจนเกินไปก็จะทำให้ขนมของเรามีรสชาติเฝื่อน ไม่อร่อย